2700 จำนวนผู้เข้าชม |
ลำไส้รั่วคืออะไร?
การเกิดลำไส้รั่วนั้น ไม่ใช่การที่อาหารหลุดออกมานอกสำไส้ แต่คือการที่สารพิษหรือสารใดๆที่ควรจะถูกขับออกมาทางอุจจาระตามปกติ แต่กลับถูกดูดซึม เล็ดลอด ผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์เยื่อบุผนังสำไส้ เข้าสู้ระบบไหลเวียนโลหิต และสารพิษเหล่านั้นจะถูกลำเลียงไปทั่วร่างกายทำให้เกิดโรคหรืออาการไม่สุขสบายต่างๆ เช่น มีแก๊สในทางเดินอาหารมากผิดปกติ ปวดท้องบ่อยๆ ท้องอืด อาหารไม่ย่อยเป็นประจำ เหนื่อยเพลียง่าย ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ มีผื่นคัน ภูมิแพ้ ปวดศีรษะหรือปวดตามข้อไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักขึ้นง่ายผิดปกติ
ขอบคุณภาพจาก : ผนังลำไส้เล็ก
สาเหตุเกิดจากอะไร?
โดยปกติเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้จะเรียงชิดติดกันเป็นระเบียบ เรียกว่า "Tight Junctions" ทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารและป้องกันไม่ให้สารพิษ เชื้อก่อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง แต่เมื่อเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เกิดการอักเสบ (Inflammation) เกิดความเสียหายต่อ Tight junctions ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ จึงสูญเสียความสามารถในการควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร บรรดาสารพิษ สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อก่อโรคจึงสามารถเล็ดลอดผ่านช่องว่างเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง การเพิ่มขึ้นของช่องว่างเหล่านี้เรียกว่า "ภาวะลำไส้รั่ว" หรือ "Leaky Gut Syndrome" ร่างกายจึงต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ จนก่อให้เกิดปัญหาการอักเสบเรื้อรังซ้ำซากและกลายเป็นอาการเจ็บป่วยตามมา ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะไส้รั่วเกิดจากการเสียสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
ขอบคุณภาพจาก : humarian
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เสียสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีคือ
ขอบคุณรูปภาพจาก : love earth
อาการเตือน
มีงานวิจัยมากมายที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างภาวะลำไส้รั่วกับโรงเรื้อรังหลายชนิด โดยนักวิจัยค้นพบว่า ความผิดปกติในการซึมผ่านเยื่อบุผนังลำไส้มีความสัมพันธ์กับโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome; IBS) โรคทางเดินอาหารอักเสบโครห์น (Cronh’s disease) โรคเซลิแอค (Celiac Disease) โรคแพ้ภูมิตนเอง (Systemic Lupus Erythematosus; SLE) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) และโรคหอบหืด เป็นต้น
อาการเบื้องต้นที่ดูไม่น่าอันตรายเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากภาวะลำไส้รั่วร่วมด้วย โดยพบว่าเมื่อทำการรักษาภาวะลำไส้รั่วแล้ว อาการดังกล่าวก็จะสามารถทุเลาลงไปได้ ซึ่งหากอาการเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันแล้ว ขอแนะนำให้รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
How to? ทำอย่างไรให้สำไส้ดี
1. Remove กำจัดต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่ว
ด้าานอาหาร งดอาหารแปรรูป อาหารjuck food งดการรับประทานอาหารที่เราแพ้แต่ไม่รู้ตัว(ภูมิแพ้อาหารแอบแฝง) อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง แต่มีเส้นใยไฟเบอร์ต่ำ
ลดการใช้ยา ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ยาแก้ปวด แก้อักเสบ กลุ่ม NSAIDs ในกรณีที่ไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้
ด้านพฤติกรรม ลดความเครียด เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งกระทบต่อการทำงานของลำไส้ด้วย หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
2. Rebalance ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้
โดยการเติมจุลินทรีย์ดีเช่น โปรไบโอติก ซึ่งโปรไบโอติกจะอยู่บริเวณผิวของลำไส้ จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแทรกเข้าไปในกระแสเลือด ฆ่าเชื้อโรคชนิดไม่ดี กระตุ้นภูมิคุ้มกัน(เม็ดเลือดขาว)ในเนื้อเยื่อน้ำเหลืองใต้ลำไส้ให้ทำงานได้ดีขึ้น เป็นตัวเชื่อมโยงระบบภูมิคุ้มกันทั้งปอด และผิวหนัง อาหารกลุ่มที่มีโปรไบโอติกสูง เช่น โยเกิร์ต ผัก ผลไม้ ถั่ว ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสี เป็นต้น
3. Replenish เสริมด้วย vitamin แร่ธาตุ กรดอมิโน
vitamin A b, c, d e กรดอมิโน กลูตามีน โอเมก้า3 เหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกัน ยกตัวอย่างอาหาร เช่น ตำลึง ฟักทอง ข้าวโพด มะละกอ ไข่ไก่ ถั่วลิสง ผักบุ้ง ผักโขม กะหล่ำปลี สาหร่าย มะเขือเทศ ฝรั่ง เสาวรส นม เป็นต้น
สมุนไพรไทย ตัวที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้แก่ ตรีผลา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ตรีผลามีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี เมื่อนำมาทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยรักษาแผล ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ต้านอนุมูลอิสระ
4. Restore พื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนอย่างมีคุณภาพจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด เพราะความเครียดจะเป็นตัวทำลายระบบภูมิคุ้มกันและอาการไม่สุขสบายอื่นๆตามมา ทำกิจกรรมที่ส่งผลให้อยู่ในสภาวะอารมณ์ผ่อนคลาย เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ ฟังเพลง เป็นต้น
สุดท้าย อาการไม่สุขสบายจะไม่สามารถหายได้ในวันสองวัน แต่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเราเอง เพราะเราคือหมอที่ดีที่สุดของตัวเอง หวังว่าทุกคนจะมีสุขภาพดีนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช, มหาวิทยาลัยมหิดล